วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

"Freedom Writers" The "MUST-SEE" Movie for "Human"

สวัสดีค่ะทุกคน ^__^


วันนี้เวบบลอคของเรา จะขอเปลี่ยนบรรยากาศจากการวิเคราะห์วิจารณ์ปัญหาหนักๆ มาเป็นหัวข้อของการวิจารณ์หนัง ที่มีข้อความเขียนติดไว้หลังปกเลยว่า เป็น “Must-see Movie” อย่างหนังเรื่อง Freedom Writers นะคะ รับรองว่าหลังจากที่ได้อ่านบทวิจารณ์เรียกน้ำย่อยของผู้เขียนแล้ว คุณผู้อ่านทุกท่านที่ยังไม่มีโอกาสได้ดู คงจะต้องอยากไปหามาดูสักรอบเพื่อเปิดมุมมองโลกของคุณใหม่อย่างแน่นอนค่ะ (ยิ้ม)


Freedom Writers เป็นหนังฮอลลีวูดที่สร้างมาจากไดอารี่จริงๆ ของนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของการเหยียดสีผิวและชาติพันธ์ และสงครามระหว่างแก๊งโดยที่ไม่รู้สาเหตุ อันเป็นเหตุให้เอริน (รับบทโดยฮิลลาลี่ สแวงค์ นักแสดงหญิงรางวัลออสการ์) ครูสาวผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ต้องเข้ามาช่วยเหลือนักเรียนของเธอให้รอดพ้นจาก “สงครามระหว่างชาติพันธุ์” นี้ไปให้ได้
หนังเริ่มต้นด้วยการฉายภาพความรุนแรงในเมืองลองบีช ลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อยู่รวมกันเมืองหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ก่อนจะเผยให้เราได้เห็นบรรยากาศในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งที่มองโดยผิวเผินแล้วดูจะสงบสุขและแสนจะธรรมดา แต่เมื่อครูสาวอย่างเอรินเข้ามาปรับเปลี่ยนที่นั่งในห้องเรียนเท่านั้น สงครามระหว่างแก๊งก็พร้อมจะเกิดขึ้นได้โดยทันที เพราะภายใต้ความธรรมดาที่ปกคลุมอยู่นั้น ภายในเต็มไปด้วยความขัดแข้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีต แล้วถูกสั่งสอนต่อๆกันมาด้วยสิ่งที่เรียกว่า”หน้าที่” และ “ศักดิ์ศรี”ของกลุ่มคนแต่ละชาติพันธ์ ครูเอรินจึงพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยเด็กนักเรียนของเธอให้หลุดพ้นจากความทรมานทั้งทางความคิดและการกระทำที่ถูกปลูกฝังมาอย่างผิดๆโดยคนรุ่นก่อน
เอรินเสนอให้นักเรียนของเธอจดบันทึกประจำวันการดำเนินชีวิตของพวกเขาที่คิดว่าสามารถให้เธออ่านได้ แล้วเด็กนักเรียนคนไหนที่พร้อม ที่จะเปิดใจรับความช่วยเหลือจากเธอ ก็ให้นำบันทึกนั้นมาใส่ในล็อกเกอร์ที่ห้องเรียน ปรากฏว่าหลังจากที่นักเรียนของเธอได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจที่ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ลงในไดอารี่แล้ว พวกเขาก็เปิดใจรับโลกภายนอกมากขึ้น และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง...












Freedom Writers Trailer


โดยส่วนตัวแล้วก่อนที่ผู้เขียนจะได้ดูหนังเรื่องนี้ เคยคิดว่าปัญหาการเหยียดสีผิวหรือชาติพันธุ์นั้นหมดไปแล้ว จากฉากหน้าที่หลายๆฝ่ายพากันแสร้งทำผ่านสื่อหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้นักแสดงผิวสีหรือนักแสดงเอเชีย ร่วมแสดงกับนักแสดงผิวขาวทั่วไปอย่างที่หนังฮอลลีวูดทุกเรื่องทำ หรือจะเป็นการเลือกตั้งระดับประเทศที่มีทั้งผู้หญิงและคนผิวสีลงสมัครแข่งกันอย่างสูสี แต่เมื่อหนังเรื่องนี้ตีแผ่ด้านมืดของสังคมที่หลอกตาว่าเจริญแล้วกลายเป็นไร้มนุษยธรรมและป่าเถื่อนไม่ต่างจากพวกเผด็จการ ก็ทำให้ผู้เขียนคิดได้ว่า ภายในจิตใต้สำนึกเราลึกๆแล้ว ไม่มากก็น้อยทุกๆคนย่อมมีความรู้สึกดูถูกหรือเดียจฉันท์ ชาติพันธุ์ที่เราคิดว่าด้อยกว่ากันทั้งนั้น อย่าว่าอื่นไกลเลยค่ะ อย่างเราเองเวลาที่เห็นใครแต่งตัวล้าสมัย หรือครอบครองทรัพย์สินอะไรที่ดูคร่ำครึหน่อย เราก็ซุบซิบนินทากันอย่างสนุกสนานว่า คนนั้น คนนี้ “ล_ว” ไปซะอย่างนั้น ทั้งๆที่หากคนชาติเค้ามาได้ยินคงจะรู้สึกเจ็บแค้นอยู่ไม่น้อย แล้วยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ผู้เขียนอ่านเจอมากับสองตาตัวเอง นานมากแล้ว แต่ยังคงจำฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ คิดว่าน่าจะเป็นหัวข้อสัมภาษณ์ชาวต่างชาติว่าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเมืองไทย นักท่องเที่ยวคนหนึงที่เลือกใช้วันหยุดยาวของเขาด้วยการมาเที่ยวเมืองไทยบอกว่า “ก่อนหน้าที่จะมาประเทศไทย เขาคิดว่าบ้านเมืองเรายังใช้ช้างเป็นพาหนะ แล้วก็มีแต่หญิงโสเภณีเท่านั้น!” โอย เอาสิคะ ผู้เขียนได้อ่านแล้วจะเป็นลม จากนั้นเลยเขย็ดขยาดฝรั่งอยู่พักใหญ่เลยค่ะ พอมาตอนนี้ผู้เขียนมีโอกาสได้บอกเล่าสิ่งที่คิดว่าหลายคนมองว่าเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงอะไรมาบอกเล่าในมุมมองของผู้เขียน ผ่านทางหนังที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นสื่อที่ทำให้เราได้เรียนรู้โลกได้ดีที่สุดสื่อหนึ่งแล้วยังไม่เป็นการเคร่งเครียดหรือจริงจังมากเกินไป ในยุคที่การใช้ชีวิตก็ลำบากมากพออยู่แล้ว ผู้เขียนคิดว่าคงจะจุดประกายในใจหลายๆคนได้ไม่มากก็น้อยในเรื่องของการเปลี่ยนมุมมองการเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาตินะคะ หากผู้อ่านทุกคนได้อ่านบทความนี้ หรือดูหนังเรื่องนี้แล้วได้กลับมาคิดทบทวนตัวเองบ้าง เปลี่ยนความคิดที่มีต่อคนต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์บ้างก็นับว่าดีไม่น้อยแล้วล่ะค่ะ


อย่างน้อยถ้าคิดซะว่าจะโกรธจะเกลียดกันไปทำไม ตายจากกันไปก็ไม่ได้เจอกันแล้ว เพราะฉะนั้นตอนที่มีโอกาสยืนอยู่บนโลกใบนี้ด้วยกัน ก็รักกันเข้าไว้ ก่อนที่จะไปนอนให้ผืนดินกลบหน้าแล้วมานั่งคร่ำครวญว่า “น่าจะทำดีต่อกันให้มากกว่านี้” จะเป็นเรื่องดีมากกว่านะคะ